ทางร้าน พีพี แบตเตอรี่เซอวิส พามาให้ความรู้ ชนิดของแบตเตอรี่กันครับ

แบตเตอรี่น้ำ
แบตเตอรี่น้ำ คือแบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่นและเป็นที่นิยมกันทั่วไป เนื่องด้วยราคาและความทนทานต่อการรับประจุและคายประจุ แบตเตอรี่ประเภทนี่เป็นแบตเตอรี่ประเภทตะกั่วกรดซึ่งทำจากแผ่นตะกั่วสลับกับแผ่นลีด ไดออกไซด์ โดยทั้งสองแผ่นนี่จะจมอยู่ในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ ที่มีสวนผสมของกรด 38% และน้ำกลั่น 62% ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการปล่อยประจุ จะทำให้อิเล็กตรอนทะลุผ่านแผ่น Conductorsก่อให้เกิดพลังงาน ตัวสารอิเล็กโทรไลต์เป็นของเหลวที่จำเป็นต้องคอยเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป แบตเตอรี่น้ำจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1.5 – 2 ปี หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและบำรุงรักษาของผู้ใช้รถ
ข้อดี
ข้อเสีย
ราคาถูกกว่าชนิดอื่นๆ ทนทาน ( ถ้าดูแลรักษาสม่ำเสมอ )
ต้องคอยมั่นดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากลืมเช็คปริมาณน้ำกลั่น แบตอาจจะเสียทันที
แบตเตอรี่กึ่งแห้งกึ่งน้ำ

แบตเตอรี่กึ่งน้ำกึ่งแห้งหรือแบตเตอรี่ประเภท MF (Maintenance Free) เป็นแบตเตอรี่ที่สะดวกต่อการใช้งานในยุคปัจจุบันที่ผู้ใช้รถยนต์ไม่ค่อยมีเวลา ดูแล ถูกออกแบบมาให้มีการสูญเสียน้ำกลั่นน้อยมาก (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน)
เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลน้ำกลั่นและใช้งานไม่มากจนเกินไป
- ข้อดี เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่ค่อยเวลาดูแลรถยนต์ แต่แนะนำว่าควเช็คน้ำกลั่นทุกๆ 6-8 เดือน ผ่านช่องตาแมว
- ข้อเสีย แม้จะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยแต่ก็ต้องหมั่นตรวจเช็กอยู่สม่ำเสมอ อายุการใช้งานอาจไม่นานเท่าแบตเตอรี่น้ำ
แบตเตอรี่แห้ง

แบตเตอรี่แห้งเป็นแบตเตอรี่ที่มีการพัฒนาให้สะดวกต่อผู้ใช้รถ เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องการเติมน้ำกลั่น ซึ่งจะมีทั้งแบบตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมียมกับตะกั่วในแผ่นเซลล์ และแบบที่ใช้สารละลายอัลคาไลน์นิเกิล-แคดเมียม เป็นแบตเตอรี่ที่มีประจุเต็มจากโรงงานผู้ผลิต เก็บไว้ได้นานในที่แห้ง เนื่องความชื่นเข้าไปในเซลล์และทำให้แบตเสียได้ เมื่อใช้พลังงานที่ประจุไว้จนหมด จะไม่สามารถเติมประจุไฟเข้าไปเพื่อกลับไปใช้ใหม่ได้
ข้อดี ไม่ต้องตรวจเช็คบ่อยๆ และไม่ต้องเติมน้ำกลั่น เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรักษา
ข้อเสีย ราคาสูง ไม่เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊สเพราะแบตเตอรี่แห้งมีรูระบายอากาศที่ค่อยข้างเล็ก ซึ่งรถยนต์ที่มีการติดตั้งระบบแก๊สเสริมจะทำให้ เครื่องร้อนซึ่งอาจะทำให้รูอุดตันง่าย ส่งผลให้เกิดแรงดันภายในแบตเตอรี่จนแบตเตอรี่บวมได้
แบตเตอรี่ขั้วลอย

แบตเตอรี่ขั้วจม

แบตเตอรี่ AGM
1. แบตเตอรี่ SLA (Sealed Lead Acid) เป็นแบตเตอรี่ชนิดปิดผนึก ส่วนมากจะใช้ในงานอุตสาหกรรม เช่นเครื่องสำรองไฟ ประเภทนี้เราจะไม่นำมาใช้ในรถยนต์
2. แบตเตอรี่ VRLA (Valve Regulate Lead Acid) เป็นแบตเตอรี่ชนิดที่มีวาล์วระบายแรงดันภายใน กรณีเกิดแรงดันภายในสูงเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับแบตเตอรี่ จากการเกิดภาวะโอเวอร์ชาร์จ ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้เองที่นำมาใช้ในรถยนต์ แบตเตอรี่ชนิดนี้จะสามารถทนต่อการชาร์จของกระแสไฟได้ดีกว่า ไฟที่ชาร์จมายังแบตเตอรี่จะสามารถเก็บได้ดี ทำให้ไม่ต้องชาร์จนานแบตเตอรี่ก็เต็มได้อีกทั้งสามารถจ่ายไฟคงที่ได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไป จึงเหมาะสำหรับรุ่นที่มีฟังชั่นเยอะ และรถที่มีระบบ Eco Start-stop คุณลักษณะเด่น สำหรับรถที่มีความต้องการระบบไฟฟ้ามาก อาทิเช่น เครื่องยนต์ดับและสตาร์ทบ่อยครั้ง ระบบไดชาร์จอัจฉริยะ ระบบชาร์จไฟฟ้าขณะเบรก สตาร์ทเครื่องยนต์ได้มากกว่า SMF*5 เท่า จ่ายไฟฟ้าขณะเครื่องยนต์หยุดทำงาน ได้ยาวนาน > 30,000 Cycles ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 7-10% ช่วยประหยัดน้ำมันได้ 7-10%

ข้อดี ทุกด้าน
ข้อเสีย แพง ราคาสูง
แบตเตอรี่ EFB
EFB BATTERY (Enhance Flood Battery)
แบตเตอรี่ EFB (Enhanced flooded battery) จะมีความคล้ายกับแบตเตอรี่ AGM แต่ต่างกันอยู่ที่อิเล็กโทรไลต์ที่ใช้ แบตเตอรี่ EFB เริ่มผลิตเพื่อรองรับระบบรถ start-stop ที่ทนต่อการสตาร์จหลายๆครั้ง หากคุณใช้แบตเตอรี่ธรรมดาในรถระบบ Start-stop มันมักจะไม่ทนต่อการสตาร์จหลายครั้งในแต่ละวัน แบตเตอรี่ EFB ได้รับการพัฒนาเพื่อให้การชาร์จดำเนินการโดยเร็วที่สุดถึงแม้รถจะขับในระยะสั้นๆ

- ข้อดี รองรับรถระบบ Start-stop ทนต่อการจำนวนสตาร์จในแต่ละวัน อายุการใช้งานยาวนานความต้านทานต่อการปล่อยประจุลึกการชาร์จอย่างรวดเร็ว
- ข้อเสีย แพง ราคาสูง
สัญญาณบอกเหตุของแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม
เป็นที่ทราบกันดีว่า แบตเตอรี่ คือองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้เครื่องยนต์กลไก เริ่มทำงานได้ อย่าปล่อยให้การเริ่มวันใหม่ กลายเป็นวันแห่งความวุ่นวาย ทางร้าน พีพีแบตเตอรี่เซอร์วิส จะมาเล่าอาการของแบตเตอรี่ ที่เริ่มถึงวาระเวลา พร้อมแล้วมาดูกันครับ
1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีแรง สตาร์ทติดยากและนานกว่าปกติ นี่เป็นเพราะค่ากำลังสตาร์ท (CCA) เริ่มต่ำกว่าระดับมาตรฐาน จึงไปฉุดให้ไดร์สตาร์ท ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพครับ
3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม หรืออุปกรณ์บางอย่างใช้งานไม่ได้ เช่นเซ็นเซอร์ถอยหลังไม่ดังครับ

2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที แม้กระทั้งดับเพื่อเติมน้ำมัน รถจะสตาร์ทติดยาก เพราะแบตเตอรี่เริ่มเสีย โดยปกติกำลังสูงสุด จะอยู่ที่อุณหภูมิ-18 องศา
4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ ไม่เร็วเหมือนเดิม ในกระจกบานที่กดออโต้ได้ กลับใช้ไม่ได้


5. ระบบไฟในรถเริ่มทำงานผิดปกติ ไฟหน้าจอเครื่องเสียงและไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยวและไฟท้ายเริ่มสว่างน้อยลง รวมถึงให้ลองบีบแตรดูถ้าเสียงเบาผิดปกติ นั่นแสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ของคุณไม่เพียงพอเช่นกัน
6. อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ >> แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานอยู่ที่ 18 – 24 เดือน หรือ40,000 โล (สำหรับรถที่ไม่ได้ติดอุปกรณ์เพิ่มเติม) สามารถดูได้จากฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ทางร้านแบตเตอรี่จะทำการระบุวันที่เราเริ่มใช้งานแบตเตอรี่ครั้งแรก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย อย่างรถที่จอดทิ้งไว้หลายวันแบตเตอรี่ยิ่งอายุสั้นกว่ารถที่ใช้งานปกติ หากแบตเตอรี่ น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น อาจพบขี้เกลือเกาะตามขั้วแบตทั้งสอง แสดงให้เห็นว่าเซลในแผ่นธาตุเริ่มสลาย จึงระเหยขึ้นมาครับ หรือหากถึงขั้นต้องพ่วงแบต กรณีนี้เป็นวิธีฉุกเฉินที่จะพารถไปยังที่ปลอดภัยหรือสถานบริการนะครับ การจั๊มคือการใช้รถคันอื่นมาสตาร์ท แต่นอนถ้าดับเครื่อง และสตาร์ทอีกครั้ง ก็จะเป็นเช่นเดิม และยังอาจสร้างความเสียหายให้กับตัวรถได้
CCA คืออะไร?
- การวัดแบตเตอรี่ ค่าCCA คืออะไร
CCA ย่อมาจาก (Cold Cranking Amp) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการจ่ายกระแสเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ในสภาวะอากาศหนาว ยิ่งค่า CCA สูงเท่าไหร่ก็แสดงว่ามีกำลังสำหรับสตาร์ทแรงเท่านั้น อุณหภูมิที่ใช้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานการวัดค่า CCA นั้นแตกต่างกันไปตามแต่มาตรฐาน เช่น ตามมาตรฐานของ IEC คือ -18°C เป็นต้น
- สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการวัดค่า CCA ก็คือ
ค่าที่วัดได้นี้จะลดน้อยถอยลงตามสภาพแบตเตอรี่ และ สถานะของแบตเตอรี่ เช่น แบตเตอรี่ที่ไฟอ่อนหรือไฟหมด ค่า CCA ที่วัดได้จะน้อยลงแต่เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้วค่าที่วัดได้จะมากขึ้น ดังนั้นค่า CCA อย่างเดียวจึงไม่อาจระบุได้ว่าแบตเตอรี่เสียหรือไม่
- การวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่าที่ต้องวัด
เพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของการทำงานของแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการวัดค่าแรงดันไฟ Volatage no-load แล้วค่าอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่ถ้าจะมาจำเพาะเจาะจงถึงเรื่องกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์ สิ่งที่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้คือ การวัดค่า CCA (Cool Cranking Ampere)


- ค่า CCA (Cool Cranking Ampere) คือ
ค่าที่บอกจำนวนกระแสไฟฟ้า ที่แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ สามารถส่งออกมาในระยะเวลา 30วินาที (ที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ -18องศาเซลเซียส) จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือต่ำกว่า7.2โวลต์ ในกรณีสำหรับแบตเตอรี่ 12โวลต์ ด้วยเหตุนี้ แบตเตอรี่ 12โวลต์ที่มีค่า CCA 600 บอกเราคือแบตเตอรี่จะปล่อยกระแสไฟ 600แอมป์เป็นเวลา30 วินาทีที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือ7.2โวลต์
เมื่อค่าที่วัดได้ เปรียบเทียบกับค่าที่ระบุจากแบตเตอรี่ และจากผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ตรงกัน อาจก่อปัญหาได้ เช่นถ้าค่าที่วัดได้ต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้ใช้ อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่มีกำลังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ซึ่งเหตุการณ์เกิดได้บ่อยกับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เป็นเวลานานและไม่มีการตรวจเช็คอย่างถูกต้อง ทำให้ต้องขอพ่วงไฟเพื่อสตาร์ทเครื่อยนต์จากรถคันอื่นๆ
ตรวจเช็ครถยนต์ครั้งต่อไปอย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่ด้วย MIDTRONICS MDX-P600 เครื่องทดสอบแบตเตอรี่
- ค่า CCA (Cool Cranking Ampere) ค่านี้มีความสำคัญอย่างไร
ค่านี้เป็นค่าที่บอกถึงกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นเอง ถ้าค่านี้ลดลงไปอาจทำให้มีกำลังไฟไม่พอสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้(แต่การสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดก็อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วยเช่นกัน) ซึ่งค่า CCA จะไม่เท่ากันแตกต่างกันไปตามแต่ขนาดของแบตเตอรี่และรุ่นที่มีกำลังไฟแอมป์ที่ต่างกัน นอกจากนั้นระหว่างแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น(แบตน้ำ) กับแบตเตอรี่พร้อมใช้กึ่งแห้งกึ่งน้ำ(แบตแห้ง) ก็อาจมีค่า CCA ที่ต่างกันได้ เราจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของรถ
ยกตัวอย่างเช่น: แบตเตอรี่ที่มีกระแสแอมป์เท่ากันคือ 45 แอมป์ ระหว่างแบตแห้งกับแบตน้ำ ค่า CCA ของแบตแห้งจะสูงกว่าคือ 433 ในขณะที่แบตน้ำจะมีค่านี้คือ 325 และถ้าคุณใช้รถไม่บ่อย ต้องจอดทิ้งไว้นานๆ หรือไปต่างประเทศนานๆบ่อยๆ ก็ควรเลือกแบตเตอรี่ชนิดที่มี CCA สูงกว่า หรือควรเลือกใช้แบตเตอรี่กึ่งแห้งกึ่งน้ำนั่นเอง เพราะสามารถเก็บไฟได้นานกว่า และอยู่อึดทนนานกว่า
** ร้านพีพีแบตตเตอรี่ ตรวจเช็คคุณภาพค่า CCA ให้ท่านได้ฟรี ไม่ว่าท่านจะติดตั้ง แบตจากทางแหล่งอื่นๆครับ

การสำรองไฟก่อนติดตั้งแบตเตอรี่
คุณจะรู้ได้ยังไงว่า รถแบตหมด หรือ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์แล้ว ? คุณสามารถ สังเกตและเช็คอาการของรถยนต์ ว่ามีอาการแบบนี้ บ้างรึเปล่า… บิดกุญแจแล้วรถสตาร์ทไม่ติด โดยเฉพาะ ช่วงเช้า หรือ จอดทิ้งไว้นาน หลายวัน เริ่มมีอาการสตาร์ทติดยาก โดยปกติแล้วบิดกุญแจแล้วจะสตาร์ทติดเลย แต่ตอนนี้บิดกุญแจแล้ว ใช้เวลานานกว่าเดิม ถึงจะติดหรือ ต้องบิดกุญแจ 2 รอบ กว่าจะติด ดู อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่อยู่ที่ 1.5 – 2 ปี ไฟหน้า ไฟเลี้ยว สว่างน้อยลง กระจกไฟฟ้า ทำงานช้าลง ระบบไฟฟ้าในรถยนต์เริ่มทำงานผิดปกติ เช่น ไฟหน้าปัด ไฟในห้องโดยสาร ไฟท้าย เสียงแตรเบากว่าปกติ หากคุณพบว่า รถยนต์ของคุณเริ่มมีอาการเหล่านี้… และแบตเตอรี่มีอายุ 1.5 – 2 ปีแล้ว ก็เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า “ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วครับ”
แบตเตอรี่รถยนต์ในไทย มีด้วยกัน 4 ประเภทแบตเตอรี่ ดังนี้
1. แบตเตอรี่น้ำ เป็น ประเภทแบตเตอรี่ดั้งเดิม ต้องหมั่นดูแลน้ำกลั่น ให้ได้ระดับอยู่เสมอ
2. แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นประเภทแบตเตอรี่ ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติม เติมน้ำกลั่นบ้าง ประมาณ 6 – 9 เดือนต่อ ครั้ง แรงสตาร์ทจะมากกว่า ประเภทแบตเตอรี่แบบน้ำ
3. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นแบตเตอรี่แห้ง ที่ยังสามารถเติมน้ำได้ แอมป์จะสูงขึ้น แรงสตาร์ทมาก ราคาไม่ได้แตกต่างกับแบตเตอรี่ ประเภทอื่นมากนัก
4. แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลย ตลอดอายุการใช้งาน แรงสตาร์ทมาก ราคาสูงที่สุด รับประกันนานที่สุด (ในบางยี่ห้อ)
วิธีการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์
- เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับเสมอ แบตเตอรี่หลายๆรุ่น มีตาแมวให้สังเกตุโดยง่าย
- แบตเตอรี่น้ำกลั่น ให้ดูระดับน้ำ ทุกๆ เดือน
- แบตเตอรี่ไฮบริด ให้ดูระดับน้ำ ทุกๆ 6 เดือน
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง ให้ดูระดับน้ำ ทุก 1 ปี
- แบตเตอรี่แห้ง ไม่ต้องดูระดับน้ำ
2. ก่อนลงจากรถ เช็คเสมอว่าไม่ได้ลืมเปิดไฟใดๆไว้ เพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมด
3.หลังจากใช้งาน ถ้าเริ่มมีสัญญานเตือน ควรรีบเข้าตรวจสอบ แบตเตอรี่ โดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหา แบตเตอรี่ เสื่อม โดยไม่รู้ตัว
แบตเตอรี่เสื่อมหรือหมด
- แบตเตอรี่เสื่อม หรือ แบตเตอรี่หมด กันแน่ มีวิธีสังเกตุเบื้องต้นดังนี้ถ้าสตาร์ทไม่ติด แต่ เปิดทุกอย่างได้หมด คือ แบตเตอรี่เสื่อม ถ้าสตาร์ทไม่ติด และ เปิดทุกอย่างไม่ได้เลย คือ แบตเตอรี่หมด ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
- ถ้าแบตเตอรี่เสื่อม แต่ยังอยู่ในประกัน ให้ลองโทรติดต่อร้านแบตเตอรี่ ที่เคยเปลี่ยนดูก่อน แบตเตอรี่ทุกยี่ห้อ รับประกันขั้นต่ำคือ 12 เดือน ครับ
สิ่งที่ต้องรู้ขณะเปลี่ยนแบตเตอรี่
- ต้องสำรองระบบไฟ ขณะทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่เสมอ การสำรองไฟเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ อย่าลืมสำรองไฟทุกครั้ง
- รุ่นแบตเตอรี่ ขั้วของแบตเตอรี่ ต้องถูกรุ่น ไม่ผิดสเปค